เฉินหนง (จีน 神農 พินอิน Shénnóng เทพกสิกรรม), อู๋กู่เฉิน (五穀神 เทพห้าธัญพืช), หรือ อู๋กู่เซียนตี้ (五穀先帝 ปฐมกษัตริย์ห้าธัญพืช) เป็นเทวดาในศาสนาพื้นบ้านจีนตามประมวลเรื่องปรัมปราจีน และเป็นที่เคารพนับถือในฐานะวีรบุรุษทางวัฒนธรรมแห่งยุคก่อนประวัติศาสตร์ของจีน บางคราวเฉินหนงนับเป็นหนึ่งในสามราชา (三皇) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำจีนโบราณ นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่า เฉินหนงไม่เพียงแต่สอนชาวจีนเพาะปลูก เขายังสอนชาวจีนใช้ยาสมุนไพรด้วย ทั้งยังถือว่า เขาคิดค้นหลายสิ่ง เช่น จอบ, คันไถ, ขวาน, บ่อน้ำ, ชลประทาน, การรักษาอายุเมล็ดพันธุ์พืชโดยใช้ปัสสาวะม้าต้มสุก, ตลาดนัดวันหยุดสุดสัปดาห์ขายผลิตผลทางเกษตรกรรม, และปฏิทินจีน ตลอดจนพัฒนาและปรับปรุงความรู้ความเข้าใจทางแพทย์ เช่น การจับชีพจร, การฝังเข็ม, และการรมยา รวมถึงก่อตั้งพิธีกรรมเกี่ยวกับฤดูเก็บเกี่ยว ในเรื่องปรัมปราจีน เฉินหนงสอนมนุษย์ใช้คันไถ และสอนเรื่องอื่น ๆ ให้แก่มนุษย์ เช่น การเกษตรขั้นพื้นฐาน และการใช้สมุนไพร ทั้งยังเป็นเทวดาแห่งลมร้อน (burning wind) ซึ่งน่าจะเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อเรื่องจักรพรรดิหยาน (炎帝) และการเกษตรแบบตัดและเผา (slash-and-burn)อนึ่ง ถือกันว่า เฉินหนงเป็นบรรพบุรุษของชือโหยว (蚩尤) เพราะมีลักษณะทางกายภาพที่เหมือนกัน คือ มีศีรษะเหมือนวัว มีเขาแหลมบนศีรษะ มีหน้าผากเป็นทองสัมฤทธิ์ และมีกระโหลกศีรษะเป็นโลหะ
ยังถือว่า เฉินหนงเป็นบิดาของจักรพรรดิเหลือง (黃帝) ผู้สืบทอดความลับเกี่ยวกับการแพทย์, ความเป็นอมตะ, และการสร้างทองคำ
ซือหม่า เจิน (司馬貞) เขียนอรรถกถาให้หนังสือ ฉือจี้ (史記) ของซือหม่า เชียน (司馬遷) ว่า เฉินหนงเป็นญาติ (kinsman) ของจักรพรรดิเหลือง และถือกันให้เป็นต้นกำเนิดหรือหัวหน้าของเทือกเถาเหล่ากอ (ancestor or patriarch of the forebears) ของชาวจีนโบราณราชวงศ์ซ่งได้ใช้ระบบการรวมศูนย์อำนาจผสมกับการการแต่งตั้งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปปกครองหัวเมือง ระบบนี้ทำให้ราชสำนักมีเวลาดูแลกิจการในเมืองหลวงมากขึ้นและในยุคนี้มีการก่อสร้างเมืองไม่เพียงเพื่อการบริหารเท่านั้น ยังเป็นการสร้างเมืองเพื่อเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ อุตสาหกรรม พาณิชย์นาวี หัวเมืองชายฝั่งถูกเชื่อมโยงกับหัวเมืองในแผ่นดินการพัฒนานี้ทำให้เกิดสามัญชนที่ร่ำรวยขึ้นมาโดยไม่ต้องรับราชการอย่างในอดีตจำนวนมาก ในด้านวัฒนธรรมนั้น นอกจากพัฒนาสิ่งที่สืบทอดจากสมัยถังแล้ว ยังมีการบันทึกประวัติศาสตร์ ศิลปะการเขียนภาพ ศิลปะการเขียนพู่กัน และการทำเครื่องปั้นดินเผาเนื้อแข็ง ลัทธิข่งจื่อมีอิทธิพลเหนือพุทธศาสนาเนื่องจากถูกมองว่าเป็นของต่างประเทศ และไม่มีคำตอบสำหรับการปฏิบัติ และแนวทางสำหรับทางการเมืองและปัญหาพื้นฐานทั่วไป ในขณะที่สำนักข่งฟูจื่อได้พัฒนาสู่ลัทธิข่งจื่อแนวใหม่ โดยการนำเอาปรัชญาแนวคิดดั้งเดิมของข่งจื่อมาสอดแทรกด้วยความเห็น ผสมผสานแนวคิดทางศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า เป็นต้น ลัทธิข่งจื่อแนวใหม่ที่มีอิทธิพลอย่างสูงคือแนวคิดของ ชูสี่ 朱喜 ซึ่งมีแนวคิดในการสอนให้เชื่อฟังฝ่ายเดียว และตำหนิการคัดค้านผู้ปกครอง กล่าวคือ ลูกต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ภรรยาเชื่อฟังสามี ผู้น้อยเชื่อฟังผู้อาวุโสกว่า เป็นต้น แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังลึกอยู่ในสังคมจีนจนถึงศตวรรษที่ 19 แต่ยังคงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวเกาหลี และ ญี่ปุ่นจนทุกวันนี้สมัยราชวงศ์ซ่ง (พ.ศ. 1503 – พ.ศ. 1812) เป็นช่วงที่การเมืองและการทหารของจีนค่อนข้างทรุดโทรม แต่เศรษฐกิจ การผลิตเครื่องศิลปหัตถกรรมและการค้าค่อนข้างพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ยิ่งได้รับการพัฒนาอย่างมาก ลักษณะพิเศษของ สถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์ซ่งคือ
มีขนาดไม่ใหญ่เท่าใดนัก แต่มีรูปร่างสวยมากแผนผังของเมืองสมัยราชวงศ์ซ่งคือ เปิดร้านค้าข้างถนน การดับเพลิง การคมนาคมขนส่ง ร้านค้าและสะพานในเมืองได้รับการพัฒนาใหม่ เมืองเปี้ยนเหลียงเมืองหลวงสมัยราชวงศ์ซ่ง (เมืองไคฟงมณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) กลายเป็นเมืองพาณิชย์แห่งหนึ่ง วิหารประธานและวิหารข้ามสระเลี้ยงปลาในวัดจิ้นฉือเมืองไท่หยวนมณฑลซานซีก็เป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ซ่งที่เป็นแบบฉบับสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยอิฐและก้อนหินในสมัยราชวงศ์ซ่งมีระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ที่สำคัญคือ เจดีย์และสะพาน เจดีย์ในวัดหลิงอิ่นเมืองหางโจวและสะพานโหย่งทงในอำเภอเจ้าเซียนมณฑลเหอเป่ยก็เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยอิฐและก้อนหินที่เป็นแบบฉบับในสมัยราชวงศ์ซ่งสมัยราชวงศ์ซ่ง สังคมศักดินาของจีนได้รับการพัฒนาอีกขั้นหนึ่ง คนจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งเริ่มมีความสนใจในการสร้างอุทยานขึ้น อุทยานสมัยซ่งที่มีลักษณะตัวแทนคือ ชังล่างถิงและตู๋เล่อหยวนสมัยราชวงศ์ซ่งยังได้ปรากฏวิทยานิพนธ์พิเศษเกี่ยวกับเทคโนโลยีการก่อสร้างอย่างสมบูรณ์เรื่องเหยิงเจ้าฝ่าสื้อหรือแปลว่า กฎเกณฑ์การก่อสร้าง เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีและการควบคุมดูแลการก่อสร้างของจีนต่างก็ขึ้นสู่ระดับใหม่
จักรวรรดิออตโตมันมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบูร์ซา เดิมชื่อเมืองโพรอุสซา (Proussa) ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 ออสมานได้ยกกำลังมาปิดล้อมเมืองนี้แต่ไม่สามารถยึดเมืองได้ หลังจากที่พยายามปิดล้อมเมืองอยู่นานเกือบ 10 ปี อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 1869 (ค.ศ. 1326) ชาวเมืองโพรอุสซา ได้ยอมแพ้ต่อ ออร์ฮัน (Orhan) โอรสของออสมาน ซึ่งได้ขันมาเป็นผู้นำแทนบิดา การเข้ายึดครองเมืองดังกล่าวนี้ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญต่อออตโตมัน ออตโตมันเติร์กซึ่งเดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนได้ลงหลักปักฐานที่เมืองนี้ พรัอมกับยุติการใช้ชีวิตแบบเร่ร่อน เมืองบูร์ซ่าเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรออตโตมันเติร์ก จนถึงปี พ.ศ. 1905 ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสุลต่านออร์ฮัน เมืองหลวงของออตโตมันก็ถูกย้ายไปเมืองเอดิร์เน (Edirne) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของนครคอนสแตนติโนเปิล
อาณาจักรออตโตมันตั้งประชิดติดกับอาณาจักรไบแซนไทน์ ที่กำลังเสื่อมอำนาจลงตามลำดับ โดยมีดินแดนเหลืออยู่เพียงกรุงคอนสแตนติโนเปิลและอาณาบริเวณโดยรอบเท่านั้น ซึ่งมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากนครเล็ก ๆ ที่ถูกล้อมรอบโดยอาณาจักรออตโตมัน ที่กำลังเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ดีนครรัฐไบแซนไทน์ก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ โดยอาศัยกำแพงเมืองสูงใหญ่เป็นปราการป้องกันตนเอง กำแพงแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิธีโอดอซิอุสที่ 2 (Theodosius II) กำแพงแห่งนี้ได้ปกป้องคุ้มครองนครคอนสแตนติโนเปิลจากการปิดล้อมและโจมตีของออตโตมันเติร์ก ซากของกำแพงในปัจจุบันจัดเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ที่ยังหลงเหลือให้เห็นจนกระทั่งทุกวันนี้และได้รับการยกย่องจาอองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก